บ่มเพาะ

บ่มเพาะ

กว่าจะมาเป็นดังวันนี้ เราทุกคนย่อมต้องผ่านพ้นปัญหามานานัปการ แล้วมันก็เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า เราจะทำอย่างไรถ้าหากว่าวันหนึ่งเราไม่เคยทบทวนปัญหาที่ผ่านพ้นมาเลย แน่นอนว่ามันก็อาจจะเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า คอยสอนใจเราว่าเราควรทำอย่างไร ไม่ควรทำอย่างไร แล้วปัญหาใหญ่ที่สุดหลังจากนั้น นั่นก็คือการที่เราไม่มีความรู้ใด ๆ เลยเกี่ยวกับชีวิต รวมไปถึงสถานการณ์ใด ๆ ที่ผ่านเข้ามาเราก็ย่อมจะไม่ตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นได้เลย.

จงบ่มเพาะ บ่มเพาะ และบ่มเพาะตัวเองให้มากเข้าไว้ เวลาที่หมุนเวียนไปไม่มีทางย้อนกลับมาแน่นอน อย่าหลีกเว้นปัญหาจนเราไม่กล้าเผชิญหน้ากับมัน และจงตระหนักรู้ให้ได้ว่า โลกใบนี้ย่อมเป็นมิตรกับเรา ถ้าหากว่าเราเริ่มเป็นมิตรกับมันก่อน สังเกตให้ได้ว่า เราควรจะต่อสู้กับอะไร ศัตรูที่แท้จริงเราคืออะไรกันแน่ ทั้งหมดทั้งมวลนี้มาเน้นย้ำว่าเราจะได้อะไรมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ความทุกข์ที่เข้ามายังชีวิตเรา.

อนาคตเป็นสิ่งที่แน่นอน มันถูกกำหนดได้จากวันนี้ โดยที่เราเองเป็นคนสร้างทุกสิ่งมากับมือเอง เรียนรู้ให้ได้ว่าเราก็แค่คนธรรมดาที่สามารถกำหนดชีวิตของตัวเราเองได้ ถ้าไม่มีการบ่มเพาะแล้วไซร้ ก็คงไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป ที่หาได้จากทั่วสารทิศบนโลกนี้เลย.

ไม่ก่นด่าโลกใบนี้ว่าไม่ช่วยอะไรเรา หน้าที่เราคือจัดสรร และจัดการตัวเองให้ดีเยี่ยม มีปัญหาอะไรก็จงสู้ พร้อมรบ ไม่หวั่นไหวแม้วันนั้นจะหนักหนาสาหัสเพียงใด มีจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นนักสู้ สู้ไม่ถอย กัดไม่ปล่อย แบบนั้นแหละจึงเรียกว่าเรากำลังบ่มเพาะตัวเองอย่างถูกต้อง เมื่อเราเห็นสมควรว่าอะไรเป็นอะไร ก็จงน้อมนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้กับตัวเองให้เหมาะสมที่สุด.

รับรู้ เรียนรู้ แล้วก็นำไปปรับใช้ สามกระบวนการสร้างนี้ย่อมสร้างตัวตนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน ไม่ทำตัวเหมือนน้ำเต็มแก้วที่เสมือนว่าเรารู้ทุกอย่างดีแล้ว ใครบอกใครสอนก็ไม่เอา หรือว่าโลกใบนี้มาเน้นย้ำ ส่งสัญญาณเตือนอะไรก็ไม่รับรู้อะไร ท่องเอาไว้เสมอว่าต่อให้โลกใบนี้จะถูกทำลายไป เราก็จะหาวิธีบ่มเพาะตัวเองให้ได้ดีขึ้นอยู่ดี สังคมจะดีได้ก็ย่อมต้องการคนที่ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมมากเกินไป แต่หันมาโฟกัสกับการกระทำของตนนั่นเอง.

บ่มเพาะ คือวิถีของนักสู้ ที่อึด ถึก ทน กัดไม่ปล่อยไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็ตาม

ศุภกิตติ์ กิติมหาคุณ