การจะมีเราในวันนี้ได้ ก็ย่อมต้องเกิดจากการฟูมฟักของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเสมอ ไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตจะเลี้ยงดูตัวเองจนเติบใหญ่ขึ้นเองตามธรรมชาติ อย่างน้อยธรรนชาติก็ต้องฟูมฟักคน ๆ นั้นให้เติบโตขึ้น พร้อมกับตัวตนของเราเองที่พยายามให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นด้วยมือของเรานี้ นั่นแหละจึงเรียกว่าการฟูมฟักของสิ่งมีชีวิต เริ่มต้นตระหนักถึงสิ่งที่มีค่ามากที่สุดบนโลกใบนี้ หัดดูแล บ่มเพาะ แล้วการฟูมฟักจะตามมาเอง.
ฝึกฝนที่จะเป็นผู้ให้ แล้วเราจะกลายเป็นคนที่มีความสุขกับการให้นั้น เหมือนว่าโลกใบนี้สอนเราว่า ให้เราเรียกร้อง อ้อนวอน รวมไปถึงร้องขอสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา แต่จงจดจำไว้เสมอว่า ไม่มีใครอยากจะให้ผู้ที่ร้องขอเพียงอย่างเดียว แต่เราอยากจะให้กับผู้ที่อิ่มเต็ม และไม่เรียกร้องอะไรอีกแล้วเสียมากกว่า ฟังดูเหมือนมันเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกัน แต่มันเป็นสภาวะธรรมดาของโลก เหมือนว่ายิ่งอยากยิ่งไม่มี ยิ่งให้ยิ่งได้.
เติบโตอย่างมีคุณภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่แน่นอนมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นกัน เพราะคุณภาพของการเติบโตอยู่ที่ว่าเราใส่อะไรเข้าไปในเครื่องปรุงที่เรียกว่า ความคิด คำพูด และการกระทำก็เท่านั้นเอง หลายคนดูแคลนความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าไม่สลักสำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดที่ดีเพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียว สามารถเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งมากมายในจักรวาลนี้ได้เลย.
หมั่นสังเกตความคิดความอ่านในแต่ละวันของตนเอง ไม่ต้องใส่ใจว่าใครจะคิดอะไรกับเรา แต่จงใส่ใจว่าเราจะคิดอะไรกับตนเองหรือกับคนอื่นบ้าง เหมือนว่าเราเฝ้าระวังเหตุมากกว่าไปรอดูผลลัพธ์ เนื่องจากชีวิตที่ดีมันต้องมาจากการสันโดษในผลแล้วหมั่นกระทำในเหตุให้ถึงพร้อมเสียมากกว่า เมื่อเราเป็นคนที่สวนกระแสธรรมชาติ สังคมและบ้านเมือง เราก็มีโอกาสที่ชนะตัวเองได้อย่างยั่งยืน.
วันหนึ่งพอเราเติบใหญ่มากขึ้นเราจะค้นพบว่า ไม่ใช่เพราะเราเรียนเก่ง การศึกษาดี หรือว่าใบปริญญามีกี่ใบ แต่กลับกลายเป็นเหตุของความคิดที่ดี นำมาซึ่งการกระทำมวลรวมของเราที่ไม่ได้กระทบ หรือหักเห บิดเบี้ยวไปยังทางที่แย่ ก็จะทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ยังไงแล้วก็ตามการมีชีวิตที่ดีจำเป็นจะต้องหาคุณสมบัติที่ดีมาร่วมด้วยเสมอ เพราะทุกอย่างมันคือส่วนประกอบของชีวิตที่ดีนั่นเอง หมั่นสร้างสิ่งที่ดีอย่างต่อเนื่องก็พอ.
สันโดษในผล และหมั่นทำเหตุที่ดีให้ถึงพร้อม แค่นั้นแหละชีวิตก็ดีขึ้นได้จากการฟูมฟักที่สมบูรณ์
ศุภกิตติ์ กิติมหาคุณ