เมื่อชีวิตปราศจากการฝึกฝนอย่างยิ่งยวดแล้ว ชีวิตนั้นก็คงจะรุดหน้าไปได้ไกลได้ยากอย่างยิ่ง เรียนรู้ให้ได้ว่า ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ถึงแม้เราจะฝึกฝนให้มากมายเพียงใด การฝึกฝนเองก็ไม่ได้มาการันตีว่าจะมีอะไรที่ดีขึ้นจริง ๆ ไหม แต่ยังไงก็ตามการฝึกฝนไม่เคยกลวงเปล่า เพราะมันย่อมมีผลลัพธ์ของการกระทำอย่างแน่นอน เหมือนเราหว่านเมล็ดลงบนดินที่ดี สภาพอากาศถึงพร้อมมันก็ย่อมสัญญากับเราว่า วันหนึ่งมันจะย่อมเติบโตตามเหตุของมันนั่นเอง.
ฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน
ชีวิตที่ขาดการฝึกฝนมันก็ไม่ต่างกับ ดินที่ขาดเมล็ดพันธุ์ที่ยอดเยี่ยม มันเป็นเหมือนว่าเรามีทุกอย่างพร้อม ดินพร้อม อากาศพร้อม แต่ขาดเมล็ดหรือใจที่เราลงเล่นจริง ๆ สังเกตให้ได้ว่าชีวิตไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงเสมอไป วันนี้เราฝึกฝนอย่างหนัก อนาคตเราอาจจะต้องทำหนักกว่าเดิมก็ได้ เพราะคำว่าหนักของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน เราจึงไม่มีทางล่วงรู้ว่าอะไรคือคำตอบที่ชัดเจนว่า เราทำสิ่งนี้แล้วเราจะได้รับสิ่งนั้นกันทุกคน บางคนทำแล้วได้ ส่วนบางคนทำแล้วก็ไม่ได้ก็อาจจะเป็นได้ ทว่า หากเราสังเกตกันให้ดี ๆ ทุกการกระทำ ทุกคำพูด และทุกความคิดในทุกวัน มันย่อมทิ้งเบาะแสให้เราได้ตามหามันอยู่เสมอมา.
ไม่มีคำว่าบังเอิญบนโลกใบนี้ นี่คือวลีที่ใครหลายคนอาจจะเคยได้ยิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความบังเอิญมันมีจริง ๆ ไหม แล้วถ้ามันไม่มีคนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกัน จะมารู้จักกันได้อย่างไร กรอบแคบของโชคชะตาคือการตัดสินใจ แล้วการตัดสินใจก็จะมาจากนิสัยของเราเอง ว่าตัวเรานั้นมีความคิดความอ่านอย่างไร ประสบการณ์ในอดีตของตนเองหลอมรวมกันกับสติปัญญาของเราทั้งหมด กลั่นมาเป็นความเข้าใจว่า สิ่งนี้คือต้องเป็นแบบนี้ แล้วสิ่งนั้นย่อมต้องเป็นแบบนั้น ทุกอย่างเป็นอย่างสิ่งที่ควรจะเป็น แล้วมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของใครคนใดคนหนึ่ง นี่ก็คงอาจจะสื่อว่าไม่มีคำว่าบังเอิญกับสิ่งที่เราเป็น และพบเจออย่างแน่นอน.
หว่านพืชเช่นไร ก็ย่อมได้ผลเช่นนั้น
ปลูกต้นส้ม ย่อมได้ผลส้ม และปลูกต้นมะม่วง ย่อมได้ผลมะม่วง บางคนอาจจะคิดว่า บางทีเมล็ดพันธุ์ส้มอาจจะ ไปหล่นใกล้ ๆ ต้นมะม่วง ก็เลยกลายเป็นต้นส้มแซมต้นมะม่วงไป แต่กระนั้นมันก็คงไม่สามารถเปลี่ยนเหตุไปได้ ไม่มีทางที่เมล็ดพันธุ์ชนิดหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปอีกชนิดหนึ่ง เว้นแต่ว่ากลายพันธุ์ เสมือนความคิดของมนุษย์ที่เราก็คงมีรากฐานที่สำคัญมาจากการเลี้ยงดูบ้าง รวมไปถึงพื้นเพเดิมของจิตใจเราด้วยเช่นกัน ไม่มีทางเลยที่เราจะเปลี่ยนแปลงตนเองโดยปราศจากจุดตั้งต้นเดิม เราทุกคนมีนิสัย สันดาน จิตใจ และสิ่งต่าง ๆ ที่หลอมรวมมาให้เราเป็นอย่างทุกวันนี้ บางความเชื่อเราก็ไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่ยังไงมันก็คือเหตุที่นำมาซึ่งผลนั่นเอง.
เหตุอยู่ที่กระทำ เหตุนั้นจะมาสนองเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกสรรพสิ่งกำลังสอนใจเราว่า ให้เราหมั่นสำรวจการกระทำของเราให้ดี ๆ ถ้าเกิดว่าเราเพิกเฉยในการสอบทานตัวเองอยู่เนือง ๆ มันก็ย่อมทำให้เราพลาดจุดที่สำคัญหลายอย่าง เช่น เราพอดีกับสิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้หรือไม่ รวมไปถึงอนาคตที่เราวาดฝัน และหมุดหมายไป การกระทำของเรามันใกล้เคียงที่ให้ผลลัพธ์นั้นปรากฏมากน้อยเพียงใด ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ย่อมบ่งชี้ว่า ตัวเราเป็นคนอย่างไร การรู้จักตัวเองก็จะเป็นการฝึกฝนทำให้ความคิดของเราดีขึ้น อย่างน้อยที่สุดเราก็ปรับทัศนคติได้ว่า ตัวเราเองนี้มีบางสิ่งที่ยังต้องปรับปรุงอยู่ ไม่ใช่เราดีเกินไปจนไม่มีข้อเสียอะไรเลย.
จุดเริ่มต้นคือจุดจบ และจุดจบคือจุดเริ่มต้น
วันใดที่เราตระหนักว่าไม่มีอะไรที่เราจะกลับไปแก้ไขได้เลย อดีตมันเป็นภาพที่ผ่านไปแล้ว อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง รวมไปถึงการแก้ไขอนาคตได้มีแค่สิ่งเดียวก็คือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด การทำให้ดีที่สุดไม่ได้แปลว่า มันดีต่ออนาคตจริง ๆ หรือว่าเป็นตัวรับประกันว่าอนาคตจะสดใสอย่างสิ่งที่เราคิด แต่ว่าการที่เราทำดีที่สุดมันคือความมั่นใจหนึ่งว่า เราได้กระทำสิ่งนี้โดยการคิดไตร่ตรอง และขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ผลลัพธ์ที่เราสร้างในตอนนี้มันอาจจะส่งผลบ้างไม่มากก็น้อยต่ออนาคตสืบไป หมั่นสร้างเหตุให้ถูกต้อง ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเราล้วนมีเหตุผลบางอย่างเสมอ สังเกตสิ่งแวดล้อมตัวเราด้วยไม่เพิกเฉยต่อสัญญาณที่ย้ำเตือนมากกว่าสองรอบ.
พอเรื่องราวหนึ่งมันจบลงไป มันก็พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในอีกแง่มุมหนึ่งเสมอ เหมือนรอยแยกของแผ่นดินไหว เราคงไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า วันใดที่รอยแยกมันจะกลับมาเคลื่อนไหวอีก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเราควรจะเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเอาไว้ด้วย แล้วการฝึกฝนก็ย่อมเป็นทั้งหมดของการใช้ชีวิตให้ถูกต้องอย่างแท้จริง ลองใช้ชีวิตให้คุ้มค่าด้วยการที่เราตระหนักรู้ถึงตัวตนที่เราเป็น และเราจะสะท้อนการกระทำของเราเพื่อให้ชีวิตในอนาคตของเราถูกปรับเปลี่ยนไปยังทิศทางที่เราตั้งใจหมุดหมายได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ชีวิตของเราสามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอ มันอยู่ที่ตัวเราเท่านั้น ไม่มีใครเลย.
เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่ตอนนี้
ไม่มีใครจะห้ามให้เรามีชีวิตที่ดีได้ และก็ไม่มีใครจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะห้ามหรือจะทำ รวมไปถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้ ก็อาจเพียงชั่วคราวเท่านั้น เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่มีความร่ำรวยเงินทอง ลูกหลานก็สบาย ผู้คนมากมายอาจจะมองแบบนั้น แต่จริง ๆ ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักบริหารเงิน ไม่รู้จักตนเอง และไม่ใช้เงินอย่างมีสติ เงินนั้นของพ่อแม่ที่หามาได้ก็ย่อมต้องร่อยหรอไปในท้ายที่สุดอยู่ดี บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนเราทุกคนว่า ความร่ำรวยสามารถส่งต่อไปยังรุ่นลูก รุ่นหลานได้ แต่ก็สามารถหยุดชะงัก และสูญสิ้นไปก็ได้เช่นกัน ไม่มีอะไรที่จะการันตีได้เลยในชีวิตว่า เราจะได้รับสิ่งที่คนอื่นให้ไปตลอดกาล.
ปัญหาใหญ่ที่สุดของผู้คนก็คือ คนน้อยคนไม่รู้ว่าไม่ว่าจะการส่งต่อหนี้สินหรือว่าส่งต่อมรดกความมั่งคั่ง ก็ไม่ได้จะเป็นสิ่งรับรองว่าอนาคตเราจะสุกสกาวอย่างนั้นจริง ชีวิตจึงต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ได้แล้ว อย่ารอ อย่าชะล่าใจ เราเลือกพ่อแม่ไม่ได้ว่าให้ท่านเป็นคนอย่างไร แต่เราเลือกสิ่งที่ท่านมอบให้ได้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อยอด พัฒนาและก้าวหน้าไปยังจุดที่ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่มีใครจะสามารถดึงรั้งไม่ให้เราดีได้ ถ้าใจเราปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น และไม่มีใครจะผลักดันเราให้ดีขึ้นได้ ถ้าใจเราไม่เคยคิดที่จะทำสิ่งใดให้มันดีขึ้นเลย ทำอะไรก็ได้ที่เราพอทำได้ สังเกตผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้วเราจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันเลยทีเดียว.