ความเฉไฉ

หากว่าเราตรงเป้าไม่ได้มันก็จำเป็นต้องเฉไฉ แต่เราต้องมีวิทยาศาสตร์การเฉไฉอย่างไรให้ดูชาญฉลาด และไม่ควรจะนำสิ่งนี้ไปเพื่อฉวยโอกาสใด ๆ เป็นอันขาด เพราะสิ่งนี้เป็นทั้งคุณอนันต์ และโทษมหันต์ได้เฉกเช่นเดียวกัน บางทีมันก็อยู่ที่ตัวบุคคลคนนั้นว่าเขาจะใช้สิ่ง ๆ หนึ่งไปกับอะไร บ้างก็ทำประโยชน์ บ้างก็ทำให้เกิดโทษ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมันอยู่ที่ตัวคุณเลือกเอง ตัดสินใจให้ได้ว่าเหตุการณ์นี้หรือบริบทนี้จะต้องทำอย่างไรเท่านั้นเอง.

ถ้ามันไม่ใช่ความจริงก็เฉไฉไป

ไม่ใช่ทุกเรื่องในโลกใบนี้เป็นความจริง ในแง่มุมของเราทั้งหมด นั่นก็แปลว่าเราก็ไม่จำเป็นจะต้องทำเป็นรับรู้อย่างตรงไปตรงมาตลอด ทำเป็นเฉไฉถ้ามันไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใดก็ไม่ใช่เรื่องผิดร้ายแรง เหมือนในโลกใบนี้ก็มาสอนใจเราตลอดว่าให้เราปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ รวมไปถึงสังคมแวดล้อมด้วยว่า มันเป็นไปอย่างไรกับชีวิตของเรา บางทีมันมีส่วนเล็กน้อย ก็อาจจะสนใจแค่เพียงเล็กน้อย บางทีมันอาจจะมีส่วนมาก ก็อาจจะสนใจมากขึ้นหน่อย ไม่จำเป็นจะต้องไปทำทุกเรื่องเท่ากันเพราะไม่ใช่ทุกเรื่องจะเท่าเทียมกันเสมอไป เรียนรู้จักการแบ่งสติ แบ่งสมาธิ และแบ่งปัญญาไปในเรื่องที่สมควร ส่วนเรื่องที่ไม่สมควรก็เพิกเฉยไปเลย.

อะไรที่มันคลุมเครือ เราก็ต้องปรับตัวเพื่อให้สิ่งนั้นกระจ่าง เช่น รอคอยเหตุการณ์ที่จะจุดชนวนให้เหตุการณ์นั้นกระจ่างแจ้งขึ้น หรือว่าตัวเราเองต้องตัดสินใจกระทำบางสิ่ง เพื่อให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่รอเราอยู่นั้นคลี่คลายลงไปบ้าง หากว่าเราไม่ได้เรียนรู้วิธีปรับตัวตามสถานการณ์เลย มันก็จะทำให้เราไม่รู้ว่าจะต้องวางตัว ปรับใจ หรือว่ารับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไรบ้างนั่นเอง สังเกตความเป็นอยู่แวดล้อมเสมอ ปรับตัวตามสถานการณ์ที่มันควรจะเป็น ยอมรับเมื่อถึงเวลาที่ต้องยอมรับ และก็ปฏิเสธในสิ่งที่สมควรปฏิเสธไป นี่คือวิชาสังคม มันเป็นสังคมของการปรับตัว ไม่ใช่สังคมศาสตร์เหมือนที่เราเคยร่ำเรียนกันมา.

ฝึกฝนที่จะตอบแบบภาคเสธ

หลายคนมากในสังคมที่ไม่รู้จักการตอบแบบภาคเสธ เพราะเขาไม่คิดว่าบางเรื่องราวของชีวิต มันก็จำเป็นจะต้องรอเราให้ตัดสินใจเลือกทาง การเลือกหนทางของชีวิตเป็นทุกสรรพสิ่งของเรื่องราว ชีวิตไม่ใช่การจะไปปล่อยให้มันเลยตามเลย หรือเป็นไปตามธรรมชาติเอง แต่กลับกลายเป็นอยู่ที่ตัวเราเลือกและตัดสินใจให้ละเอียดถี่ถ้วนว่า เราจะเลือกทางนี้เพียงเพราะอะไร มันเกิดจากสติปัญญา การหยั่งรู้ หรือว่ามันเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็จำเป็นจะต้องมีสติสัมปชัญญะให้ได้ ไม่ใช่ตอบไปอย่างนั้นหรือว่าพูดแบบส่งเดช แต่มันคือวิถีทางการปรับตัวให้เข้ากับผู้คนก็ย่อมเป็นการตอบแบบภาคเสธนั่นเอง.

รูปประโยคบางอย่าง เรายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน หรือชัดแจ้ง เราก็ใช้คำตอบแบบภาคเสธได้ หรือว่าบางทีเรายังไม่อยากบอกใครในตอนนี้ มันก็คือการตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่จำเป็นจะต้องชี้ชัดไปในคำถามนี้เลยว่า เราคิดแบบนั้น ฉันคิดแบบนี้ หรือใด ๆ ก็ตามแต่ มันคือการตอบแบบไม่ตอบตกลง และก็ไม่ตอบปฏิเสธในคราวเดียว ส่วนใหญ่ก็คือเป็นส่วนหนึ่งของการเฉไฉนั่นแหละ มันไม่ได้แปลว่าเราโกหกหรือปั้นน้ำเป็นตัว ทว่า มันคือการที่เราไม่ต้องการตอบคำถามนี้ด้วยการใช้วิจารณญาณในการตอบอีกแง่มุมหนึ่งเช่นกัน ไม่ใช่ทุกคำถามของทุกคนบนโลก ที่เราจำเป็นต้องตอบ และไม่ต้องทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นภาระทางจิตใจอีกต่อไป.

ไม่ต้องยอมรับทุกคำกล่าวหาและทุกคำถาม

คำถามและคำกล่าวหา มันเป็นคำกลาง ๆ ไม่ใช่ว่าคำถามทุกคำถามเป็นคำถามที่ดี หรือว่าทุกคำถามเราจำเป็นจะต้องตอบ เหมือนเอาเข้าจริง สังคมก็พยายามจะบีบคั้นให้เราต้องตอบเพราะเราเป็นคนได้ยินคำถามนั้น หรือว่าบางคนก็ชินกับการตอบภาคเสธ หรือเฉไฉจนเป็นนิสัยอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่นิสัยตรงไปตรงมาหรือว่าเฉไฉ ใครจะเป็นคนที่ชนะเลิศแต่อย่างใด แต่มันอยู่ที่บริบท สมมุติว่าคนตรงไปตรงมาอยู่ในบริบทที่ควรเฉไฉ เขาก็สอบตกในเหตุการณ์นั้น กลับกันคนที่เฉไฉมาอยู่ในบริบทที่ควรตรงไปตรงมา เขาก็ย่อมสอบตกเช่นเดียวกัน สังเกตแวดล้อม สังเกตบริบทที่เรายืนอยู่ แล้วย้ำตัวเองบ่อย ๆ ว่าไม่ใช่ทุกคำถามเราต้องยอมรับมัน.

คำตอบและคำพูดที่เราจะสื่อสาร ก็เป็นตัวเน้นย้ำว่า เรากำลังเลือกสรรข้อมูลในสมองเราที่สะสมมาทั้งชีวิต มาตอบคำถามนั้น ๆ ว่ามันเป็นอย่างไร ศิลปะในการใช้ชีวิตไม่ใช่เพียงแค่คำตอบในการสื่อสาร แต่มันคือคำตอบของชีวิตว่าเราต้องการอะไรบ้างในชีวิต ไม่มีอะไรที่จะมาขวางกั้นเราได้นอกเสียจากตัวเราเอง แล้วตัวเราเองนี่แหละเป็นคนกำหนดวิถีทางในอนาคตของเราสืบไป ทุกการกระทำจะมาเป็นตัวกำหนดอัตลักษณ์ตัวตนเราว่า เราคือใครจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นคำถาม คำตอบหรือแม้แต่ปัญหาต่าง ๆ ที่เราพบเจอก็ไม่สามารถจะมาตัดสินเราได้ เว้นว่าตัวเราเป็นคนคิด คนพูด และคนลงมือกระทำสิ่งหนึ่งลงไปจริง ๆ ให้สำรวจตัวเอง.

ตั้งกรอบให้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไรกับสิ่งที่สื่อสาร

ทุกการเคลื่อนไหวของชีวิตเราก็ต้องการคำตอบของสิ่งเหล่านั้น ไม่มีใครเดินไปยังที่ที่หนึ่งโดยที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปยังจุดหมายปลายทางใด การสื่อสารก็คล้ายกัน มันเป็นสิ่งที่เราต้องตั้งกรอบให้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไรกับสิ่งที่สื่อสารออกไป เช่น คำถามนี้ เราถามไปทำไม บางคนก็ชอบถามแบบไม่ได้คิด หรือว่าเป็นคำถามสิ้นคิด รวมไปถึงคำตอบ บางคนก็ตอบหมดทุกคำถามโดยที่ไม่สนใจว่า บางคนเขาก็แค่ถามเพียงเพราะหมั่นไส้ ไม่ชอบหน้า หรือว่ากลั่นแกล้ง ซึ่งวิชาการเข้าสังคม เป็นส่วนหนึ่งของวิชาชีวิต ย่อมมีความสลักสำคัญต่อมวลมนุษยชาติสืบไปอย่างแน่นอน มันจะคอยมาย้ำเตือนเราว่า เราเลือกได้ เลือกทั้งคำถาม และเลือกทั้งคำตอบด้วย.

แล้วถ้าประโยคของการสื่อสารนั้นไม่สัมฤทธิ์ผลในการสื่อออกไป ประโยคนั้นก็ถือว่าไม่ได้เป็นการสื่อสารอย่างสมบูรณ์ สังเกตรูปประโยคให้ดีว่า คนที่ตั้งคำถามกับเราแล้วมาถามเรา เขาต้องการอะไร เขาอยากรู้จริง ๆ หรือว่าเขาต้องการถามไปอย่างนั้น รวมไปถึงมีหลายผู้คนที่ไม่เคยรู้จักการตอบแบบภาคเสธ ไม่มีศิลปะการเลี่ยงบาลีใด ๆ แถมมิหนำซ้ำคิดว่าคำตอบสำคัญมากกว่าคำถาม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนถามและคำถามสำคัญมากที่สุด มีความสำคัญไปพร้อมกันด้วยกัน เพราะถ้าคนที่ไร้สติปัญญาถาม ก็คงเป็นได้เพียงแค่คำถามที่ไร้ปัญญา แต่ถ้าคนที่มีปัญญาสูงมาถาม ก็คงเป็นคำถามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความลุ่มลึกเป็นแน่แท้.