ความหลากหลาย

เมื่อการเกิดอุบัติขึ้นมายังบนโลกใบนี้ ความหลากหลายจึงปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เราไม่มีทางเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกโดยเด็ดขาด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกัน เช่น สิ่งนั้นมีสิ่งนี้จึงมี มันจึงเป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตต่อไปว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร แล้วการช่วยเหลือกันและกันเป็นสิ่งที่อยู่ในเจตจำนงอิสระ หรือว่ามันคือสิ่งที่เราทุกคนต้องทำ สำรวจโลกใบนี้ด้วยสายตาอันเปิดกว้าง เบิกเนตรให้ได้กว้างที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง.

สิ่งมีชีวิตไม่มีทางอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้

สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา สิ่งนั้นจึงเกิดตามมา ไม่มีอะไรเกิดมาแต่เพียงผู้เดียว แต่ในวันที่มันเกิดขึ้นมามันก็อาจจะดูว่ามันดูเกิดขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว แต่ทว่าสิ่งมีชีวิตไม่มีทางอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ มันจึงต้องมีความหลากหลายเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไป เดินพร้อมกันไป รวมถึงปรับตัวร่วมกันด้วยเช่นกัน มันก็อาจจะสร้างปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์ขึ้นมาก็ได้ การอยู่ร่วมกันเริ่มถดถอยลงไป ไม่ใช่เพียงเพราะสิ่งมีชีวิตอื่นเว้นแต่มนุษย์ แต่รวมไปถึงมนุษย์เองก็เริ่มอยู่เดี่ยว แถมโดดเดี่ยวมากกว่าการอยู่คนเดียวด้วยซ้ำไป สังคมเปลี่ยนเพราะใจคนเปลี่ยน และใจคนเปลี่ยนก็เพราะข้อมูลนั้นที่มนุษย์รับรู้ถูกดัดแปลงให้มวลรวมคิดกันแบบนี้ก็เท่านั้นเอง.

วันนี้การใช้ชีวิตของคนเราส่วนใหญ่ ได้ปรับวิถีไปอย่างสิ้นเชิง เช่น สมัยก่อนเราอยู่กันเป็นกลุ่ม ยุคนี้เราอยู่กันคนเดียวใช้ชีวิตเหมือนว่าไม่ได้สนใจคนรอบข้างเท่าที่ควร ก็เพียงเพราะทำไมไยเราต้องสนใจ เขาคือเขา เราก็คือเรา บางส่วนอาจจะมีความเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจมวลรวม การหาเลี้ยงชีพที่ยากขึ้น มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าความสุขมันหายากมากขึ้นทุกที ปัญหาส่วนใหญ่ก็ต้องรับผิดชอบในทุกวัน การมานั่งใส่ใจคนอื่นมันเลยกลายเป็นทางเลือก เป็นตัวเลือก และคนเราก็มักจะเลือกทำเป็นสิ่งสุดท้ายด้วยซ้ำ ปัญหาของปัญหาก็ย่อมเป็นปัญหาในอีกแง่มุมอยู่ดี ไม่ใช่ว่ามันจะหายไปไหนแต่มันเปลี่ยนรูปแบบไปแบบใหม่.

การช่วยเหลือเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่ใช่ทางเลือก

เราต้องลองปรับทัศนคติดูใหม่ว่า การช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่เช่นนั้นความเป็นสังคมที่ดีจะหายไปอย่างรวดเร็ว สังคมไม่ใช่วิชาหนึ่งตอนสมัยเรียน ไม่ใช่ภาควิชาหนึ่งที่เราเลือกเรียน แต่มันคือสังคมที่เราอยู่อาศัยจริง ๆ เราเป็นพลเมือง เราเป็นลูก และเราก็เป็นพ่อแม่ แม้ว่าเราจะเป็นอะไร บริบทที่เรายืนจะเป็นอย่างไรอาจจะไม่สำคัญ แต่ยังไงเราก็คือส่วนหนึ่งของสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อยู่อย่างไรให้ดี ไม่ใช่อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น เพราะการให้ไม่ได้จำกัดแค่การช่วยเหลือ แต่มันรวมไปถึงรอยยิ้มที่เราอาจจะเปื้อนยิ้มบนใบหน้าก็ได้ หรือว่ายินดีไปกับสิ่งแวดล้อมรอบข้างบ้าง คนนั้นที คนนี้ที ไม่มีทีของใครคนใดคนหนึ่งตลอดเวลา.

เด็กหรือผู้ใหญ่เป็นฝ่ายถูก เมื่อสังคมคือกลุ่มก้อนที่เราต้องรับผิดชอบร่วมกัน กรณีเด็กที่โหวกเหวกโวยวาย หรือร้องรำทำเพลงในร้านคาเฟ่ แล้วผู้ใหญ่รู้สึกว่าตำหนิและมองแรงใส่ สิ่งใดเล่าเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด เมื่อสังคมชอบมีมาตรวัดว่าแบบนี้ถูก หรือแบบนี้ผิด มันก็กลับกลายเป็นว่าความรับผิดชอบไปตกอยู่ที่คนใดคนหนึ่งตลอดเวลา ไม่งั้นเราก็คงไม่โทษการเมือง โทษประเทศ รวมไปถึงโทษโลกใบนี้ที่ไม่ยุติธรรมมิใช่หรือ การโทษกันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความคิดและการกระทำที่เรามีปมปัญหาภายในใจของเราเอง ซึ่งการโทษกันเองไม่เคยมีอะไรดีขึ้นมาเลย ไม่ว่ามันจะอยู่ในแง่มุมใดก็ตามแต่ เลิกโทษใครแล้วร่วมรับผิดชอบกันจะดีกว่า.

มนุษย์คือห่วงโซ่อาหารที่อยู่บนสุด

เราทุกคนเลือกได้ มนุษย์เลือกดีได้ แต่ไม่มีใครเลือกเหตุให้ดีจริง ๆ สักคน เหมือนว่าเราทุกคนก็อยากจะมีชีวิตที่ดี ทว่า ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เลือกได้เยอะที่สุด เลือกได้เยอะมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นแบบไม่เห็นฝุ่นเลย แม้แต่การควบคุมเรื่องการผลิต มนุษย์ก็สามารถควบคุมได้ รวมไปถึงพยากรณ์อากาศเพื่อวางแผนทริปการเดินทางนันทนาการของเราก็ย่อมเป็นได้เช่นกัน สิ่งต่าง ๆ กำลังมาบอกกับเราว่าห่วงโซ่อาหารก็อยู่ชั้นบนสุดโดยไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเราได้เลย เราเป็นหนึ่งเดียว และจะเป็นไปเสมอ จนถึงวันที่มีอะไรมาเหนือกว่าเราก็เท่านั้น มันอาจจะไม่มีในเร็ววันนี้ แต่วันหนึ่งมันย่อมเกิดขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.

การปฏิวัติของพฤติกรรมมนุษย์ไม่เคยเกิดขึ้น เราอยากสุข อยากสบาย อยากดีทั้งชาติ แต่เราไม่เคยคิดอยากจะพยายามทำอะไรให้มันดีสักเท่าไหร่ ความหลากหลายจึงไม่ได้เป็นตัวช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างเดียว แต่บางส่วนมันกลับทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันก็ได้ สังเกตตัวตนของเราว่ามันกำลังพอกพูนสิ่งใด ระหว่างสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี แล้วสำรวจตัวเองอยู่เนือง ๆ ว่าเราดีขึ้นหรือแย่ลงเพราะอะไร ข้อมูลเรามีการขยับขยายบ้างไหม เรารับความรู้จากแหล่งใดบ้าง สิ่งเหล่านี้จะมาเน้นย้ำว่ามนุษย์ทุกคนกำลังเดินอยู่บนเส้นด้าย วิถีทางที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเราเลือกได้ว่าจะเลือกทางไหน แต่คำว่าสายเกินไปอาจจะเข้าใกล้มากกว่าที่เราคิด.

เอไอ หรือเอจีไอ จะมาเปลี่ยนโลกทั้งใบ

ปัญญาประดิษฐ์เป็นสิ่งที่ล้ำสมัย แต่จริง ๆ มันดูเหมือนว่ามันก็มีมานานแล้ว แต่แค่มนุษย์เราไม่ค่อยได้ใช้มันสักเท่าไหร่ เมื่อมีบางสิ่งสามารถย่นย่อเวลาได้เกินคาด เช่น มนุษย์คิดหาทางออกปัญหาเรื่องหนึ่งใช้เวลา 1 วัน แต่เอไอสามารถแก้ปัญหาได้ภายใน 1 นาที ปัญหาที่โจทย์เดียวกัน แต่มันสามารถย่อเวลาได้มากถึง 23 ชั่วโมง 59 นาที แบบนี้มนุษย์เราจะสู้มันได้อย่างไร ปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นถ้าเราไม่แก้ไขมัน มันย่อมงอกไปอีกปัญหาหนึ่งได้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เอไอ แต่กลับอยู่ที่เอจีไอ ก็คือเอไออนาคตพร้อมสรรพกำลังเต็มสูบ เอาง่าย ๆ ว่าสามารถแก้ไขปัญหา 100 ปัญหาภายใน 1 นาที แปลว่ามนุษย์แก้ปัญหา 100 ปัญหาภายใน 100 วันหรือมากกว่า เพราะมนุษย์ต้องพักผ่อน ต้องหาความสุข แต่ปัญญาประดิษฐ์นี้ไม่มีวันพัก.

แล้วมันจะเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินคณานับไปอีกมาก หากมนุษย์นั้นขาดการใช้สติปัญญาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งโดยทั่วไปถ้าเราไม่ได้ทำงานที่ต้องมีการคิดวิเคราะห์อย่างยาวนาน เราจะใช้สมองเพียงแค่ 10-20% เท่านั้นแต่หากว่า เราไม่ได้ใช้สมองเลยก็ย่อมใช้แค่การทำงานแบบสั่งแล้วทำ ถ้าไม่สั่งก็คิดไม่ได้ว่าต้องทำอะไร แปลว่าเราใช้สมองแค่ 5-10% เท่านั้น โดยที่ 80-95% คือสิ่งที่เราไม่ได้ใช้มันเลยโดยคำถามว่า เราโง่ลงหรือว่าปัญญาประดิษฐ์มันฉลาดขึ้น คำตอบก็ง่ายมากคือทั้งสองอย่างเลย เราทั้งโง่ลง ฉลาดน้อยลง และเทคโนโลยีก็ทำอะไรได้มากขึ้น แก้ปัญหาได้แม่นยำมากขึ้นไปพร้อมกัน นี่จึงเป็นสิ่งที่ความหลากหลายกำลังมาแทนที่มนุษย์ เพราะมนุษย์ก็เป็นเพียงแค่วัฏจักรนึงของโลกเท่านั้น.