#84 ความตรงเป้า

ความตรงเป้า

ใส่ใจเหตุ เพิกเฉยผลลัพธ์ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะปฎิบัติตาม สังเกตชีวิตประจำวันให้ได้ว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้างในวันนี้ สอบทาน สำรวจ ทดสอบให้มากเข้าไว้ วันหนึ่งเราจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดตรงประเด็น ไม่แก้ไขมั่ว ๆ หรือว่าไม่ได้รับรู้ถึงปัญหาที่แท้จริงแล้วแก้ไขมันไป เพราะปัญหาส่วนใหญ่ต้องใช้เวลา แล้วเวลานั่นเองก็เป็นที่มาของประสบการณ์ต่าง ๆ ที่หล่อหลอมให้เป็นตัวเราทุกวันนี้ ไม่ต้องกังวลว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ยิ่งฝึกฝนยิ่งแม่นยำ ยิ่งแม่นยำยิ่งตรงเป้า.

แก้ปัญหาให้ตรงเป้า

ปัญหามันมีของมันอยู่อย่างนั้น เพราะมันมีวลีอยู่คำหนึ่งว่า ต่อให้ปัญหาจะมีมามากมายสักเพียงใด แต่ส่วนหนึ่งมันก็ล้วนแต่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งความหมายแฝงในวลีนี้ก็คงจะหมายถึง การใช้ชีวิตอย่างไรให้ดีที่สุด มันก็น่าจะเป็นทำนองที่ว่า ทบทวนอดีตที่มีผู้คนมากมายได้พานพบ มิใช่ใช้ชีวิตเหมือนว่าประสบการณ์ในอดีตนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ไม่มีแหล่งข้อมูลความรู้มาช่วยให้เรารอดพ้นปัญหา นั่นจึงอาจจะแปลว่าเราไม่สามารถรับมือกับปัญหาได้ตรงจุด ตรงเป้า แถมมิหนำซ้ำเรายังทำให้ชีวิตของเราแย่ลงไปโดยปริยาย โดยที่เราไม่รู้ชัดว่าในความเป็นจริง แล้วชีวิตมันก็มาสอนเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มีสติเข้าไว้.

ความสุขในชีวิตที่สุดก็คือ การแก้ปัญหาความทุกข์ให้ตรงเป้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้แค่นั้นเลย พอเราทำส่วนที่เราทำได้ให้มากที่สุด เราก็จะใส่ใจในส่วนที่เราทำได้ แล้วปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปตามกาลเวลาของมัน ทุกสิ่งในโลกมีเวลาของมัน เปรียบเสมือนจังหวะที่เราได้กระทำลงไปนั้น ก็ได้เรียนรู้ไปอีกว่า เราได้กระทำสิ่งนั้นลงไปแล้ว ไม่มีกิจหรือหน้าที่ใดที่เราควรทำไปมากกว่านี้แล้ว ความทุกข์ทั้งหมดก็จะค่อย ๆ ห่างจากชีวิตเราไปเรื่อย ๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย วันหนึ่งเราก็จะรู้ว่าปัญหาของมนุษย์ส่วนใหญ่ก็คือ ปัญหาของตัวเองไม่ค่อยสนใจ มัวไปสนใจแต่ปัญหาคนอื่น มันก็เลยเป็นปัญหาสังคมกันอยู่ทุกวันนี้ หลังจากนี้ฝึกฝนที่จะใส่ใจสิ่งที่ควร.

โฟกัสให้เป็นอย่างสิ่งที่ควรเป็น

ใส่ใจเป็นคำ ๆ เดียวที่คนในยุคสมัยนี้น้อยคนที่จะทำได้ เหมือนว่าเราฝึกฝนที่จะเอาใจลงเล่นแล้ว ไม่ได้สักแต่จะใช้ชีวิตไปวัน ๆ แต่เริ่มกลับมาตั้งคำถามที่ความคิดแล้วว่า เราจะใช้ชีวิตไปแบบนี้ต่อไปจริง ๆ หรือ แล้วเราสามารถปรับเปลี่ยนวิถีทางของชีวิตให้ดีขึ้นได้บ้างไหม ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมันบีบทางให้เราเดินไปทางใดทางหนึ่ง นั่นก็อาจจะเป็นสัญญาณของคำว่า ชีวิตมาแจ้งเตือนให้เราเดินไปทางนั้น ไม่ละเลยปัญหา แล้วเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนที่มันย้ำเตือนมากกว่าสองครั้งเสมอ ทุกสิ่งมีชีวิตมีสัญชาตญาณเบื้องลึกว่า เรากำลังจะพบเจอกับอะไร ดีหรือไม่ดี นั่นก็จึงเป็นคำตอบว่าอนาคตอยู่ที่วันนี้ มันอยู่ที่เราโฟกัสกับอะไร.

บางคนสายตามักจะจับจ้องไปอยู่ในจุด ๆ เดียว แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้จะเป็นสิ่งที่สลักสำคัญต่อชีวิตสักเท่าไร เมื่อปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งก็คือ โฟกัสให้ถูกจุดและตรงเป้าก็เป็นโจทย์ที่ท้าทายเช่นกัน ลองสำรวจการโฟกัสตอนนี้ว่า เราไปสุดกับเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตบ้างไหม แล้วถ้าเราสังเกตได้แล้วว่าบางเรื่องไม่ต้องไปสุดก็พอรับรู้ได้ หรือบางเรื่องจำเป็นจะต้องไปให้สุด ๆ ไปเลย ก็อาจจะจำเป็น ทั้งนี้มันก็จะขึ้นอยู่กับทักษะ และประสบการณ์ในอดีตที่ได้สะสมมาระหว่างวันที่ดีและไม่ดีต่าง ๆ บางทีก็ลองหยิบหนังสือที่ทรงคุณค่ามาอ่านบ้าง เพียงเพราะหนังสือทุกเล่มมีประโยชน์ มันอยู่ที่คุณจะดึงสาระสำคัญอะไรได้บ้างมากกว่า.

สำรวจกายและใจในทุกวัน

กายและใจเป็นสองส่วนที่เชื่อมโยงกันเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เปรียบเสมือนธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราตลอดเวลา เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้แสดงลักษณะตลอดเวลา มันอาจจะมีแฝงตัวมาบ้างก็ได้เช่นกัน กายและใจที่ถึงแม้จะอยู่ใกล้ตัวเรา แต่เรามักจะเพิกเฉย รวมไปถึงละเลยกันมาตลอด กว่าที่จะมีสติสัมปชัญญะได้อย่างแน่วแน่และมั่นคงนั้น บุคคลคนนั้นก็จำเป็นจะต้องฝึกฝนกายและใจอยู่เนือง ๆ ใส่ใจเรื่องราวของกายและใจ ไม่ได้ใส่ใจแต่ข่าวสารบ้านเมือง หรือว่าปัญหาที่เราแก้ไขไม่ได้อยู่ร่ำไป หากโลกนี้มีแต่คนหลง เราจะเป็นคนที่รู้หรือคนที่หลง มันอยู่ที่เราสำรวจกายและใจในทุกวัน.

ลักษณะเด่นของคนตื่นรู้ก็คือ รู้ชัดว่าวันนี้คิดอะไร พูดอะไร และทำอะไร ทว่า เคยเป็นไหมที่บางครั้งเรากระทำหรือพูดอะไรไปแล้ว พอเรามองย้อนกลับมาก็มักจะรู้สึกว่าไม่น่าทำไปแบบนั้นเลย หรือไม่น่าพูดไปแบบนั้นเลย สิ่งเหล่านี้เป็นตัวเน้นย้ำว่าเราขาดสติบ่อยครั้ง แถมเวลาเราใช้ข้อมูลที่มีทั้งหมดเกลาปัญหาไปเรียบร้อยแล้ว เราจะรู้สึกไม่ดีและรู้สึกผิดกับสิ่งที่เรากระทำไม่ดี หรือไม่สมควรนั่นเอง วันนี้คือส่วนต่อขยายของเมื่อวาน จริง ๆ วันคืนที่ผ่านพ้นมามันเป็นแค่เวลาที่กำหนดขึ้นมา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเวลาเป็นอนันต์ มันไม่มีจุดเริ่มต้นที่แน่ชัด หรือจุดจบที่แน่นอน สิ่งเหล่านี้จะมาย้ำเตือนว่า เราได้กระทำสิ่งที่สมควรไป ก็เนื่องด้วยเรามีสติอยู่ตลอดเวลา.

สังคมรอให้เราไปแก้ไขอยู่ทุกวัน

หลังจากที่ปัญหาชีวิตเราหมดไป เราก็จะเริ่มส่งจิตออกนอก ไปจัดการปัญหาอื่น ๆ ต่อไป หรือในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาที่สิ่งภายนอกมิอาจแก้ไขอะไรได้เลย เพียงแต่เราจำเป็นต้องฝึกฝนจากการแก้ไขปัญหาจากสิ่งนอกตัวก่อน แล้วค่อยน้อมนำมาแก้ไขปัญหาจากสิ่งภายในสืบไป หลังจากนั้นไม่ว่าสังคม ครอบครัว ตัวเราเอง หรือว่าสิ่งใด ๆ ที่เราจำเป็นจะต้องจัดการแก้ไขมัน มันก็จะทุเลาลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันไม่ใช่ว่าเราจะมีแค่สติ แต่สติเป็นองค์ธรรมไปสู่สมาธิ และปัญญาสืบไป นั่นจึงเป็นคำตอบแล้วว่า ตัวปัญญาที่เราจะรู้แจ้งแทงตลอดของสิ่งที่ปรากฏเห็นแล้วเกิดขึ้นนั้นมันอยู่อย่างไร แล้วเราจะสามารถไปแก้ไขมันได้อย่างไร.

สังคมนั้นเป็นภาพมวลรวมของปัจเจกชน ถ้าพูดถึงสังคมด้วยเนื้อความ เราไม่สามารถจะไปแก้ไขปัญหาได้ แต่สังคมมันคือสิ่งที่เราจะอุทิศตนเพื่อสิ่งนี้ได้บ้าง เหมือนว่าเราก็แค่คิดว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะพลเมืองก็มีหน้าที่ของพลเมือง สามีภรรยาก็มีหน้าที่ของสามีภรรยา หรือครอบครัวก็ย่อมมีหน้าที่ของครอบครัว หากว่าเราทำหน้าที่ของเราได้ดีเยี่ยม พลวัตของความสุข สงบ และพลังงานที่ดีจะเกิดขึ้น มันจึงเป็นทั้งเป้าหมายของชีวิตของใครหลาย ๆ คน และมันก็จะช่วยทำให้ขัดเกลาความไม่ดีในตนได้มากมายมหาศาล แล้ววันหนึ่งคำตอบของเราอาจจะไม่ได้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ยังอยู่ในกรอบของคำว่าแก้ปัญหาให้ตรงเป้านั้นย่อมให้ผลลัพธ์ที่ตรงเสมอมา.